First Winter Wind at Nan, Phrae, Doi Samer Dao Day4 Phrae
อาทิตย์ 30 พ.ย. 2008
ตอนเช้าออกเดินทางกลับแปดโมงเช้า ขับออกมาจากเมือง เจอหมอกเป็นครั้งแรก โชคดีที่เจอวันกลับ ถ้าเจอตอนอยู่บนดอยคงจะเสียเวลาเที่ยวมากกว่านี้
แวะที่จังหวัดแพร่ วัดพระธาตุช่อแฮ พระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีขาล ขณะนี้ยังบูรณะอยู่
ป้ายชื่อวัด
พระประธานเป็นพระพุทธชินราชจำลอง
วัดพระธาตุจอมแจ้ง อยู่ใกล้ ๆ กับวัดพระธาตุช่อแฮ ห่างกันแค่ 2กม.
โบสถ์
พระประธาน
เจดีย์เก่าแก่ ด้านหลังวัด
เจดีย์พระธาตุ
รูปส่งท้าย
แล้วตีรถกลับกรุงเทพ แวะกินข้าวที่จุดพักรถแล้วยิงยาวถึงกรุงเทพเลย รถติดตรงคอขวดอยู่สองถึงสามจุดแต่ก็กลับถึงกรุงเทพฯหกโมงเย็นจนได้
สรุประยะทางไปกลับทริปนี้ กรุงเทพฯ ถึง น่าน ทั้งสิ้น 1,784.30 กิโลเมตร ขับรถไปเอง ใช้น้ำมันไป 146.95 ลิตร ใช้แก๊สโซฮอล์ 95 ราคาลิตรละ 18.29-19.03 บาท รวมค่าน้ำมัน 2,734 บาท ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเข้าสถานที่ และอื่น ๆ รวมแล้ว 4,044 บาท รวมค่าใช้จ่ายทริปนี้สำหรับ 4 คน ทั้งหมด 6,778 บาท ต่อคน ๆ ละ 1,694.50 บาท
สิ่งที่พลาดไปในทริปนี้ ต้องไปตามเก็บในทริปหน้าก็คือ วัดศรีพันต้น วัดที่เล็กที่สุดในโลก + ทางเดินสายลีลาวดีที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติจ.น่าน พระพุทธรูปทองคำที่หอไตร วัดพระธาตุช้างค้ำ พระพุทธรูปไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Saturday, December 27, 2008
Thursday, December 25, 2008
First Winter Wind at Nan, Phrae, Doi Samer Dao Day3 Sea Mist at Doi Samer Dao
First Winter Wind at Nan, Phrae, Doi Samer Dao Day3 Sea Mist at Doi Samer Dao
เสาร์ 29 พ.ย. 2008
ตื่นหกโมงเช้า เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น และเราก็ได้เห็นทะเลหมอกที่สวยงามมาก ๆ ไปเที่ยวดอยมาหลายที่ก็ยังไม่เคยเห็นทะเลหมอกจัง ๆสักที ในที่สุดก็ได้มาเห็นที่นี่ ที่ดอยเสมอดาว สุดยอดจริง ๆ
แสงแรกของดวงอาทิตย์
ผาหัวสิงห์ในตอนเช้า
หลังจากถ่ายรูปจนสะใจแล้วเราก็เก็บเต๊นท์แล้วเคลื่อนย้ายลงมาที่ผาเชิดชู หรือผาชู้นั่นเอง มาชมทะเลหมอกที่ผาชู้และธงชาติที่มีสายชักธงยาวที่สุดในประเทศไทย ลงมาถึงก่อนแปดโมงเช้าเล็กน้อย คิดว่าจะเห็นเขาชักธงซะหน่อย แต่ปรากฏว่าไม่มีการชักธงแฮะ
ที่ผาชู้มีกาน้ำร้อนไฟฟ้าไว้บริการ เราก็เอาน้ำดื่มที่เตรียมมาใส่กาน้ำ พอเดือดแล้วก็ใส่น้ำร้อนในบะหมี่ถ้วยที่เตรียมมาเป็นมื้อเช้า รอดไปอีกมื้อ
ทะเลหมอกที่ผาชู้
จากนั้นก็ขับรถไปเที่ยวแก่งหลวง เป็นจุดที่แม่น้ำน่านปะทะหินจนเป็นฟอง สวยดีครับ แต่ถ้าใครจะเข้าไปดูใกล้ ๆ ต้องปีนหินลุยน้ำไป เราเลยดูอยู่ไกล ๆ เท่านั้น
ที่ริมฝั่งน้ำมีแมงมุมทำรังอยู่บนพื้นเต็มไปหมด น้ำเกาะใยแมงมุมพราวเลย สวยมาก
วิวสะพานข้ามแม่น้ำน่านตรงระหว่างทางเข้าแก่งหลวง
ถ้าจะกลับเข้าตัวเมืองเลยก็จะมีเวลาเหลือเยอะไป พวกเราเลยขับลงไปที่แพชาวประมง ปากนาย เพื่อกินข้าวกลางวันมีช่วงถนนที่กำลังขยายทางอยู่ แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร
สั่งอาหารมาเป็นปลาทุกจานเลย กินปลาจนสะใจไปเลย ปลาเผาที่นี่แปลกกว่าที่อื่นเพราะน้ำเยอะมาก ไม่ใช่ปลาเผาแห้ง คงเป็นเพราะวิธีการเผา เขาห่อแผ่นฟอยด์แล้วเผา น้ำในตัวปลาออกมาแล้วมันไปไหนไม่ได้ก็อยู่ในห่อนั้น มันก็เลยเหมือนปลานึ่งมากกว่าปลาเผา แกะห่อออกมาน้ำเต็มจานปลาเผาเลย
จุดชมวิวก่อนลงไปที่แพประมง ทางเข้าชำรุด และทางเดินเท้ารกมาก น่าจะมีคนดูแลให้ดีกว่านี้
แต่วิวก็สวยคุ้มค่ามากครับ ดูแล้วเหมือนทะเลเลย ให้ความรู้สึกคล้าย ๆ วิวหมู่เกาะอ่างทองเลยล่ะ
แล้วก็กลับเข้าเมือง โดยแวะวัดไปตลอดทาง วัดแรกที่แวะคือวัดบุญยืน อ.เวียงสา
พระประธาน เป็นพระพุทธรูปยืนปางเปิดโลก
วัดพระธาตุเขาน้อย ไปชมวิวเมืองน่าน ไหว้พระพุทธมหาอุตมมงคลนันทบุรีศรีเมืองน่าน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางลีลาองค์ใหญ่ตั้งอยู่กลางแจ้ง
องค์พระธาตุเขาน้อย
วัดพญาวัด อยู่ก่อนถึงวัดพระธาตุเขาน้อย
มีเจดีย์จามเทวี ทรงสี่เหลี่ยม สร้างด้วยศิลาแลง
วัดสวนตาล
ไปไหว้พระเจ้าทองทิพย์ พระประธานของวัด
และชมเจดีย์วัดสวนตาล
วัดภูมินทร์ ตอนกลางคืน
ชมงานแสดงของน้อง ๆ นักเรียนตอนกลางคืน เพราะช่วงที่ไปมีงานโอทอป หรืองานกาชาดพอดี
เจดีย์ช้างค้ำ ตอนกลางคืน
วัดหัวข่วง ตอนกลางคืน
พักที่โรงแรมเทวราช กินอาหารเย็นที่สุดถนนสุมนเทวราชร้านเรือนแก้วริมน้ำน่าน แต่ที่นี่มองไม่เห็นแม่น้ำน่านเลยเพราะริมแม่น้ำไม่ได้ติดไฟ รสชาติอาหารอร่อยใช้ได้ แต่บรรยากาศสู้ร้านที่กินวันแรกไม่ได้ กินเสร็จก็กลับโรงแรมนอน
เสาร์ 29 พ.ย. 2008
ตื่นหกโมงเช้า เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น และเราก็ได้เห็นทะเลหมอกที่สวยงามมาก ๆ ไปเที่ยวดอยมาหลายที่ก็ยังไม่เคยเห็นทะเลหมอกจัง ๆสักที ในที่สุดก็ได้มาเห็นที่นี่ ที่ดอยเสมอดาว สุดยอดจริง ๆ
แสงแรกของดวงอาทิตย์
ผาหัวสิงห์ในตอนเช้า
หลังจากถ่ายรูปจนสะใจแล้วเราก็เก็บเต๊นท์แล้วเคลื่อนย้ายลงมาที่ผาเชิดชู หรือผาชู้นั่นเอง มาชมทะเลหมอกที่ผาชู้และธงชาติที่มีสายชักธงยาวที่สุดในประเทศไทย ลงมาถึงก่อนแปดโมงเช้าเล็กน้อย คิดว่าจะเห็นเขาชักธงซะหน่อย แต่ปรากฏว่าไม่มีการชักธงแฮะ
ที่ผาชู้มีกาน้ำร้อนไฟฟ้าไว้บริการ เราก็เอาน้ำดื่มที่เตรียมมาใส่กาน้ำ พอเดือดแล้วก็ใส่น้ำร้อนในบะหมี่ถ้วยที่เตรียมมาเป็นมื้อเช้า รอดไปอีกมื้อ
ทะเลหมอกที่ผาชู้
จากนั้นก็ขับรถไปเที่ยวแก่งหลวง เป็นจุดที่แม่น้ำน่านปะทะหินจนเป็นฟอง สวยดีครับ แต่ถ้าใครจะเข้าไปดูใกล้ ๆ ต้องปีนหินลุยน้ำไป เราเลยดูอยู่ไกล ๆ เท่านั้น
ที่ริมฝั่งน้ำมีแมงมุมทำรังอยู่บนพื้นเต็มไปหมด น้ำเกาะใยแมงมุมพราวเลย สวยมาก
วิวสะพานข้ามแม่น้ำน่านตรงระหว่างทางเข้าแก่งหลวง
ถ้าจะกลับเข้าตัวเมืองเลยก็จะมีเวลาเหลือเยอะไป พวกเราเลยขับลงไปที่แพชาวประมง ปากนาย เพื่อกินข้าวกลางวันมีช่วงถนนที่กำลังขยายทางอยู่ แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร
สั่งอาหารมาเป็นปลาทุกจานเลย กินปลาจนสะใจไปเลย ปลาเผาที่นี่แปลกกว่าที่อื่นเพราะน้ำเยอะมาก ไม่ใช่ปลาเผาแห้ง คงเป็นเพราะวิธีการเผา เขาห่อแผ่นฟอยด์แล้วเผา น้ำในตัวปลาออกมาแล้วมันไปไหนไม่ได้ก็อยู่ในห่อนั้น มันก็เลยเหมือนปลานึ่งมากกว่าปลาเผา แกะห่อออกมาน้ำเต็มจานปลาเผาเลย
จุดชมวิวก่อนลงไปที่แพประมง ทางเข้าชำรุด และทางเดินเท้ารกมาก น่าจะมีคนดูแลให้ดีกว่านี้
แต่วิวก็สวยคุ้มค่ามากครับ ดูแล้วเหมือนทะเลเลย ให้ความรู้สึกคล้าย ๆ วิวหมู่เกาะอ่างทองเลยล่ะ
แล้วก็กลับเข้าเมือง โดยแวะวัดไปตลอดทาง วัดแรกที่แวะคือวัดบุญยืน อ.เวียงสา
พระประธาน เป็นพระพุทธรูปยืนปางเปิดโลก
วัดพระธาตุเขาน้อย ไปชมวิวเมืองน่าน ไหว้พระพุทธมหาอุตมมงคลนันทบุรีศรีเมืองน่าน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางลีลาองค์ใหญ่ตั้งอยู่กลางแจ้ง
องค์พระธาตุเขาน้อย
วัดพญาวัด อยู่ก่อนถึงวัดพระธาตุเขาน้อย
มีเจดีย์จามเทวี ทรงสี่เหลี่ยม สร้างด้วยศิลาแลง
วัดสวนตาล
ไปไหว้พระเจ้าทองทิพย์ พระประธานของวัด
และชมเจดีย์วัดสวนตาล
วัดภูมินทร์ ตอนกลางคืน
ชมงานแสดงของน้อง ๆ นักเรียนตอนกลางคืน เพราะช่วงที่ไปมีงานโอทอป หรืองานกาชาดพอดี
เจดีย์ช้างค้ำ ตอนกลางคืน
วัดหัวข่วง ตอนกลางคืน
พักที่โรงแรมเทวราช กินอาหารเย็นที่สุดถนนสุมนเทวราชร้านเรือนแก้วริมน้ำน่าน แต่ที่นี่มองไม่เห็นแม่น้ำน่านเลยเพราะริมแม่น้ำไม่ได้ติดไฟ รสชาติอาหารอร่อยใช้ได้ แต่บรรยากาศสู้ร้านที่กินวันแรกไม่ได้ กินเสร็จก็กลับโรงแรมนอน
Labels:
Doi Samer Dao,
Nan,
Sea Mist,
ดอยเสมอดาว,
ทะเลหมอก,
น่าน,
วัดบุญยืน,
วัดภูมินทร์,
วัดสวนตาล
Sunday, December 21, 2008
First Winter Wind at Nan, Phrae, Doi Samer Dao Day2
First Winter Wind at Nan, Phrae, Doi Samer Dao Day2
ศุกร์ 28 พ.ย. 2008
จุดหมายแรกของวันนี้คือวัดพระธาตุแช่แห้งซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีของผู้ที่เกิดปีเถาะ ที่พักเราอยู่ใกล้อยู่แล้ว เดินทางออกจากโรงแรมประมาณ 8.00น.
ถ้ารูปวันนี้แสบตาไปก็ขออภัย เพราะเน้นถ่ายพระอาทิตย์เป็นพิเศษ
องค์พระธาตุเหลืองอร่าม
หน้าบันเหนือประตูทางเข้าโบสถ์ด้านหน้าและด้านหลัง เป็นลายนาค8ตัวพันกันมองเป็นรูปคล้ายองค์พระธาตุ
พระประธานในโบสถ์
ชื่นชมความงามอยู่เกือบชั่วโมง แล้วก็นั่งรถกลับเข้ามาหาของกินในเมือง มื้อนี้เราเล็งไว้ที่ร้านเฮือนฮอม ที่เห็นตั้งแต่ขับรถเข้ามาเมื่อวานตอนเย็น
สั่งข้าวซอยกับขนมจีนน้ำเงี๊ยวมากิน ปรากฏว่า ข้าวซอยอร่อยกลมกล่อมดี แต่ขนมจีนน้ำเงี๊ยวจืดมากไม่อร่อยเลย อย่างอื่นไม่ได้สั่งเลยไม่รู้ว่าเป็นไง ขอแนะนำว่าให้สั่งข้าวซอยแล้วจะไม่ผิดหวังครับ
อิ่มแล้วก็เดินมาที่วัดมิ่งเมือง ไหว้เสาหลักเมืองและชมความงามของลวดลายปูนปั้นที่ประดับอยู่บนโบสถ์และศาลหลักเมือง
ดูแล้วก็นึกถึงวัดร่องขุ่นที่เชียงราย แต่ที่นี่จะดูเรียบ ๆ กว่า
แล้วก็เอารถไปจอดที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ จ.น่าน เข้าไปชมงาช้างดำและสิ่งของโบราณ เรื่องราวของชนเผ่าต่างๆ ในน่าน
ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์
จากพิพิธภัณฑ์ มองเห็นวัดพระธาตุช้างค้ำ
เดินไปชมวัดหัวข่วงกันก่อน
ด้านหลังเป็นหอไตรและเจดีย์
วัดพระธาตุช้างค้ำ ด้านหน้าโบสถ์
หอพระไตรปิฏก
พระประธานในโบสถ์
เจดีย์ช้างค้ำ รอบ ๆ ฐานเจดีย์มีรูปปั้นช้างครึ่งตัวล้อมรอบ
วัดภูมินทร์ ตอนแดดจัด วัดภูมินทร์เป็นวัดที่มีเอกลักษณ์ที่โบสถ์แแและวิหาร สร้างเป็นอาคารหลังเดียวกัน เป็นทรงจตุรมุข (กรมศิลปากร ได้สันนิษฐานว่าเป็นอุโบสถจตุรมุขหลังแรกของประเทศไทย)
ผมหารูปธนบัตร 1บาท ที่มีรูปวัดภูมินทร์มาให้ดูกันครับ
เข้าไปข้างในชมพระประธานจตุรทิศ ซึ่งเป็นUnseen Thailand
ไม่ว่าจะเข้าทางประตูไหนทั้งสี่ทิศก็จะพบกับด้านหน้าของพระประธานจตุรทิศเสมอ
ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังให้ชมทุกด้านของผนังเป็นศิลปกรรมไทลื้อ ที่เล่าเรื่องชาดก ตำนานพื้นบ้าน และความเป็นอยู่ของชาวน่านในอดีต ภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือภาพปู่ม่าน ย่าม่าน
วัดภูมินทร์ด้านหลัง สวยงามพอๆกับด้านหน้า
เดินไปวัดพญาภูซึ่งอยู่ในละแวกนั้น ตอนแรกที่ไปถึง โบสถ์ปิดอยู่ แต่หลวงพ่อที่วัดท่านกรุณามาก ได้เปิดโบสถ์ให้พวกเราเข้าชมและไหว้พระภายใน
ท่านเล่าว่าที่ไม่ได้เปิดให้เข้าชมภายในโบสถ์ตลอดเวลาเพราะไม่มีคนเฝ้า และพระพุทธรูปางลีลาที่อยู่ภายในโบสถ์ที่สวยงามและอ่อนช้อยที่สุดในจังหวัดได้หายไปแล้ว 3องค์ จากเดิมมีอยู่ 5 ตอนนี้เหลืออยู่แค่2 เวลาไม่มีคนเฝ้าจึงต้องปิดเอาไว้ แต่เวลามีนักท่องเที่ยวหลวงพ่อก็จะเปิดให้เข้าชม
ประตูหน้าโบสถ์ที่แกะสลักเป็นรูปยักษ์ หลวงพ่อบอกว่าอายุสองร้อยกว่าปี
แล้วเดินกลับมากินก๋วยเตี๋ยวซี่โครงหมูและชาดำเย็นที่ร้านบ้านคุณหลวงข้างวัดภูมินทร์
แล้วเราก็มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ที่อ.นาน้อย ผ่านตัวอำเภอที่สามารถแวะซื้อของกินของใช้ขึ้นไปบนดอย แต่เราไม่ได้แวะ เพราะได้ซื้อขนมปังและบะหมี่ถ้วยจากร้านเซเว่นในเมืองแล้ว จุดแรกที่แวะคือ คอกเสือ ดูใหญ่โต อลังการมาก
จากนั้นก็ที่ เสาดินนาน้อย ซื้อมะขามหวาน ผลิตภัณฑ์ชาวบ้านที่ที่ทำการอุทยานจากเจ้าหน้าที่อุทยานและได้เล่นหญ้านาฬิกาแห้งที่เวลาเอาไปจุ่มน้ำแล้วมันจะหมุนตามเข็มนาฬิกาและค่อย ๆ สะสมแรงบิดไว้เพื่อหมุนทวนเข็มในตอนสุดท้ายก่อนที่จะหยุดหมุน
แล้วก็เดินชมเสาดินนาน้อยกัน พื้นที่กว้างมาก เลยเดินแค่บริเวณใกล้ ๆ
ถ้ำมนุษย์หินโบราณ
แล้วก็รีบขึ้นไปดอยเสมอดาวเพื่อกางเต๊นท์พักนอนที่นี่ เรากางเองหนึ่งเต๊นท์และเช่าจากอุทยานอีกหนึ่งเต๊นท์
น้องหมาของเจ้าหน้าที่ เป็นหมาไฮเปอร์มากวิ่งไม่หยุดเลย
พักกันสบาย ๆ ไม่พลุกพล่าน มีคนกางเต๊นท์กันไม่เกินสิบเต๊นท์ ห้องน้ำก็แบ่งกันใช้สบาย ๆ แทบไม่มีคนเลย
พระอาทิตย์ตกดินที่ดอยเสมอดาว กินขนมปังและขนมที่เตรียมมาเพราะที่นี่ไม่มีกาน้ำร้อนไว้บริการ ตอนกลางคืนนอนดูดาวเต็มฟ้าไปหมด สวยมากและได้เห็นดาวตกอยู่หลายดวง
ศุกร์ 28 พ.ย. 2008
จุดหมายแรกของวันนี้คือวัดพระธาตุแช่แห้งซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีของผู้ที่เกิดปีเถาะ ที่พักเราอยู่ใกล้อยู่แล้ว เดินทางออกจากโรงแรมประมาณ 8.00น.
ถ้ารูปวันนี้แสบตาไปก็ขออภัย เพราะเน้นถ่ายพระอาทิตย์เป็นพิเศษ
องค์พระธาตุเหลืองอร่าม
หน้าบันเหนือประตูทางเข้าโบสถ์ด้านหน้าและด้านหลัง เป็นลายนาค8ตัวพันกันมองเป็นรูปคล้ายองค์พระธาตุ
พระประธานในโบสถ์
ชื่นชมความงามอยู่เกือบชั่วโมง แล้วก็นั่งรถกลับเข้ามาหาของกินในเมือง มื้อนี้เราเล็งไว้ที่ร้านเฮือนฮอม ที่เห็นตั้งแต่ขับรถเข้ามาเมื่อวานตอนเย็น
สั่งข้าวซอยกับขนมจีนน้ำเงี๊ยวมากิน ปรากฏว่า ข้าวซอยอร่อยกลมกล่อมดี แต่ขนมจีนน้ำเงี๊ยวจืดมากไม่อร่อยเลย อย่างอื่นไม่ได้สั่งเลยไม่รู้ว่าเป็นไง ขอแนะนำว่าให้สั่งข้าวซอยแล้วจะไม่ผิดหวังครับ
อิ่มแล้วก็เดินมาที่วัดมิ่งเมือง ไหว้เสาหลักเมืองและชมความงามของลวดลายปูนปั้นที่ประดับอยู่บนโบสถ์และศาลหลักเมือง
ดูแล้วก็นึกถึงวัดร่องขุ่นที่เชียงราย แต่ที่นี่จะดูเรียบ ๆ กว่า
แล้วก็เอารถไปจอดที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ จ.น่าน เข้าไปชมงาช้างดำและสิ่งของโบราณ เรื่องราวของชนเผ่าต่างๆ ในน่าน
ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์
จากพิพิธภัณฑ์ มองเห็นวัดพระธาตุช้างค้ำ
เดินไปชมวัดหัวข่วงกันก่อน
ด้านหลังเป็นหอไตรและเจดีย์
วัดพระธาตุช้างค้ำ ด้านหน้าโบสถ์
หอพระไตรปิฏก
พระประธานในโบสถ์
เจดีย์ช้างค้ำ รอบ ๆ ฐานเจดีย์มีรูปปั้นช้างครึ่งตัวล้อมรอบ
วัดภูมินทร์ ตอนแดดจัด วัดภูมินทร์เป็นวัดที่มีเอกลักษณ์ที่โบสถ์แแและวิหาร สร้างเป็นอาคารหลังเดียวกัน เป็นทรงจตุรมุข (กรมศิลปากร ได้สันนิษฐานว่าเป็นอุโบสถจตุรมุขหลังแรกของประเทศไทย)
ผมหารูปธนบัตร 1บาท ที่มีรูปวัดภูมินทร์มาให้ดูกันครับ
เข้าไปข้างในชมพระประธานจตุรทิศ ซึ่งเป็นUnseen Thailand
ไม่ว่าจะเข้าทางประตูไหนทั้งสี่ทิศก็จะพบกับด้านหน้าของพระประธานจตุรทิศเสมอ
ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังให้ชมทุกด้านของผนังเป็นศิลปกรรมไทลื้อ ที่เล่าเรื่องชาดก ตำนานพื้นบ้าน และความเป็นอยู่ของชาวน่านในอดีต ภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือภาพปู่ม่าน ย่าม่าน
วัดภูมินทร์ด้านหลัง สวยงามพอๆกับด้านหน้า
เดินไปวัดพญาภูซึ่งอยู่ในละแวกนั้น ตอนแรกที่ไปถึง โบสถ์ปิดอยู่ แต่หลวงพ่อที่วัดท่านกรุณามาก ได้เปิดโบสถ์ให้พวกเราเข้าชมและไหว้พระภายใน
ท่านเล่าว่าที่ไม่ได้เปิดให้เข้าชมภายในโบสถ์ตลอดเวลาเพราะไม่มีคนเฝ้า และพระพุทธรูปางลีลาที่อยู่ภายในโบสถ์ที่สวยงามและอ่อนช้อยที่สุดในจังหวัดได้หายไปแล้ว 3องค์ จากเดิมมีอยู่ 5 ตอนนี้เหลืออยู่แค่2 เวลาไม่มีคนเฝ้าจึงต้องปิดเอาไว้ แต่เวลามีนักท่องเที่ยวหลวงพ่อก็จะเปิดให้เข้าชม
ประตูหน้าโบสถ์ที่แกะสลักเป็นรูปยักษ์ หลวงพ่อบอกว่าอายุสองร้อยกว่าปี
แล้วเดินกลับมากินก๋วยเตี๋ยวซี่โครงหมูและชาดำเย็นที่ร้านบ้านคุณหลวงข้างวัดภูมินทร์
แล้วเราก็มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ที่อ.นาน้อย ผ่านตัวอำเภอที่สามารถแวะซื้อของกินของใช้ขึ้นไปบนดอย แต่เราไม่ได้แวะ เพราะได้ซื้อขนมปังและบะหมี่ถ้วยจากร้านเซเว่นในเมืองแล้ว จุดแรกที่แวะคือ คอกเสือ ดูใหญ่โต อลังการมาก
จากนั้นก็ที่ เสาดินนาน้อย ซื้อมะขามหวาน ผลิตภัณฑ์ชาวบ้านที่ที่ทำการอุทยานจากเจ้าหน้าที่อุทยานและได้เล่นหญ้านาฬิกาแห้งที่เวลาเอาไปจุ่มน้ำแล้วมันจะหมุนตามเข็มนาฬิกาและค่อย ๆ สะสมแรงบิดไว้เพื่อหมุนทวนเข็มในตอนสุดท้ายก่อนที่จะหยุดหมุน
แล้วก็เดินชมเสาดินนาน้อยกัน พื้นที่กว้างมาก เลยเดินแค่บริเวณใกล้ ๆ
ถ้ำมนุษย์หินโบราณ
แล้วก็รีบขึ้นไปดอยเสมอดาวเพื่อกางเต๊นท์พักนอนที่นี่ เรากางเองหนึ่งเต๊นท์และเช่าจากอุทยานอีกหนึ่งเต๊นท์
น้องหมาของเจ้าหน้าที่ เป็นหมาไฮเปอร์มากวิ่งไม่หยุดเลย
พักกันสบาย ๆ ไม่พลุกพล่าน มีคนกางเต๊นท์กันไม่เกินสิบเต๊นท์ ห้องน้ำก็แบ่งกันใช้สบาย ๆ แทบไม่มีคนเลย
พระอาทิตย์ตกดินที่ดอยเสมอดาว กินขนมปังและขนมที่เตรียมมาเพราะที่นี่ไม่มีกาน้ำร้อนไว้บริการ ตอนกลางคืนนอนดูดาวเต็มฟ้าไปหมด สวยมากและได้เห็นดาวตกอยู่หลายดวง
Labels:
Doi Samer Dao,
Nan,
Phrae,
ดอยเสมอดาว,
น่าน,
วัดภูมินทร์,
วัดมิ่งเมือง
Subscribe to:
Posts (Atom)